คำแถลงข่าวของประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ต่อร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ...

คำแถลงข่าวของประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ต่อร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ...

          ตามที่ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติครั้งที่ 41/2560 วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560 ได้ลงมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ... ไว้พิจารณาและแต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณา ซึ่งคณะกรรมาธิการคณะนี้ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเสร็จแล้ว และได้เปิดเผยรายงานการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2560 นั้น สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) มีความเห็นต่อการแปรญัตติของคณะกรรมาธิการดังนี้
มาตรา ๘ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติประกอบด้วยกรรมการจำนวนเจ็ดคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากผู้เป็นกลางทางการเมือง และมีความรู้และประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี ในด้านดังต่อไปนี้ อย่างน้อยด้านละหนึ่งคนแต่จะเกินด้านละสองคนมิได้
(๑) มีประสบการณ์ในการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนต่อเนื่องกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี
(๒) มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการสอน หรือทำงานวิจัยเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในระดับอุดมศึกษามาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี
(๓) มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่จะยังประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ
(๔) มีความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารงานภาครัฐที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี
(๕) มีความรู้และประสบการณ์ด้านปรัชญา วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของไทยเป็นที่ประจักษ์ที่จะยังประโยชน์ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี
ระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้นับถึงวันสมัคร หรือวันที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหา แล้วแต่กรณี
         สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชนเห็นว่าการกำหนดคุณสมบัติของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติห้าด้านดังกล่าว เป็นการกำหนดที่ไม่สอดคล้องจากหลักการว่าด้วยสถานะและหน้าที่ของสถาบันแห่งชาติเพื่อการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน (Paris Principles) และเป็นการขยายความรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๔๖ ที่กำหนดคุณสมบัติไว้ว่า “...ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นกลางทางการเมือง และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”  จึงควรกำหนดคุณสมบัติของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๔๖ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ เพียงเท่านั้น และควรเพิ่ม “คำนึงถึงการมีส่วนของหญิงและชาย” เช่นเดียวกับที่เคยบัญญัติในพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
          มาตรา ๓๗ ในกรณีที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนเรื่องใดเป็นความผิดอาญา และผู้เสียหายไม่อยู่ในฐานะที่จะร้องทุกข์ หรือกล่าวโทษด้วยตนเองได้  ให้คณะกรรมการ หรือผู้ซึ่งคณะกรรมการมอบหมายมีอำนาจร้องทุกข์ หรือกล่าวโทษได้โดยให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
            สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน มีความเห็นว่า ควรเพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ๑) เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ   ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ  และ ๒) การเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง ในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่ากฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดในทางปกครองกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาที่เกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองเช่นเดียวกับที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐  เนื่องจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนมักเกิดจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย อันอยู่ในขอบอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ หรือเกิดจากกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดในทางปกครองอันอยู่ในขอบอำนาจของศาลปกครอง ทั้งเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้สัมฤทธิ์ผลมากขึ้น
          มาตรา 46  ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดเผยข้อมูลอันทำให้สามารถระบุตัวตนของผู้แจ้ง หรือผู้ร้องเรียน รวมทั้งข้อมูลข่าวสารที่ได้มาเนื่องจากการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เว้นแต่เป็นการเปิดเผยข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจ หรือตามกฎหมาย หรือตามคำสั่งศาล ผู้จัดทำและเผยแพร่รายงานตามหมวดนี้ หากได้กระทำโดยสุจริต ผู้นั้นไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา ทางปกครอง หรือทางวินัย
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชนเห็นว่า ควรปรับปรุงดังนี้
          (๑) ให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นผู้กำหนดชั้นความลับของข้อมูลข่าวสารที่จะต้องปกปิดไว้เป็นความลับ ซึ่งผู้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวอาจถือเป็นความผิด โดยยึดหลักการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นสำคัญ
          (๒) ข้อมูลข่าวสารที่ต้องปกปิดคือ ข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยไปแล้วอาจเกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น ประชาชน และการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
         (๓) ความรับผิดควรจำกัดอยู่เฉพาะเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่มีหน้าที่ในการควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้นเท่านั้น
          มาตรา ๖๐ ให้ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะครบ ๓ ปี นับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง หรือพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๒๐ เว้นแต่กรณี (๓) ในส่วนที่เกี่ยวกับการขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๘ มิให้นำมาบังคับใช้
          ในกรณีที่ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดำรงตำแหน่งครบระยะเวลาตามวรรค ๑ ให้ถือว่าเป็นการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชนเห็นว่า ควรเป็นไปตามร่างเดิมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ให้ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ แต่ให้ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ากรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่  ทั้งนี้ เพื่อให้มีการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นไปตามหลักการปารีสโดยมิชักช้า ได้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดใหม่ที่มาจากคณะกรรมการสรรหาที่หลากหลาย และการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม ซึ่งจะทำให้เกิดผลต่อการเลื่อนสถานะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของประเทศไทยดีขึ้นจากระดับ B เป็นระดับ  A ในที่สุด
          มาตรา ๖๑  ๔(๑) ให้คณะกรรมการสรรหาพิจารณาและวินิจฉัยว่า ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ผู้ใดถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา ๘ (๑) (๒) (๓) (๔) หรือ (๕) ภายในยี่สิบวันนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาตาม (๔) ทั้งนี้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาให้เป็นที่สุด
          สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชนเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องเพิ่ม ๔(๑) หากคงไว้ซึ่งหลักการเดิมในมาตรา ๖๐ ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
          สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชนขอเสนอต่อสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ... ที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในวาระ ๓ ให้คำนึงถึงหลักการที่สำคัญที่ควรนำมาประกอบการพิจารณา ๔ ประการคือ
          ประการแรก ต้องทำให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีความอิสระ ทั้งนี้ เมื่อปลายเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ คณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศว่าด้วยสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นสมาชิกอยู่ ได้มีมติ “ปรับลด” สถานภาพของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของประเทศไทยจาก ระดับ “A” มาเป็น “B” เนื่องจากเมื่อได้ประเมินการทำงาน ตรวจสอบคุณสมบัติโดยเฉพาะกระบวนการสรรหากรรมการ ซึ่งขาดการมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญของภาคประชาสังคมและองค์กรสิทธิมนุษยชน ตลอดจนการแสดงบทบาทและดำเนินภารกิจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแล้ว เห็นว่าไม่สอดคล้องกับ “หลักการแห่งกรุงปารีสว่าด้วยแนวทางในการจัดตั้งและดำเนินการสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” ที่ได้รับการรับรองจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติมาตั้งแต่ ปี ๒๕๓๖
          ประการที่สอง ต้องเป็นไปตามหลักการสำคัญที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ การกำหนดคุณสมบัติของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งเกินกว่าที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมิอาจทำได้
          ประการที่สาม ต้องคำนึงถึงอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติที่ประเทศไทยเป็นภาคีและพันธกรณีที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ... จะต้องเอื้อต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          ประการที่สี่ ต้องคำนึงถึงสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยที่มีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนของไทยที่ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตน หรือสิทธิของชุมชน ถูกเข่นฆ่าเป็นจำนวนมากในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา การทำให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหน้าที่และอำนาจในการฟ้องคดีแทนผู้เสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะทำให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติสามารถปกป้องคุ้มครองผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ดียิ่งขึ้น

นายจตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร
ประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๐

         



ความคิดเห็น